[SF] Day Trip การเดินทางของ อีซองมิน { Begin }
บันทึกการเดินทางของอีซองมิน เริ่มต้นที่อิตาลีพร้อมๆกับการพบเจอเด็กหนุ่มเชื้อสายแดนกิมจิที่อายุน้อยกว่า "โจ คยูฮยอน" #เนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบเล่าไดอารี่อ่ะนะ :) (K&M)
ผู้เข้าชมรวม
254
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
อา...จะเริ่มไงดีล่ะ (หัวเราะ)
ก่อนอื่นผมคงต้องแนะนำตัวเองกับเจ้าสมุดเล่มนี้ก่อนสินะ
ผมอีซองมิน อายุ 27 ปีมาได้สองเดือนแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านและ...ผมกำลังมีความสุข ผมเป็นนักเดินทาง ซึ่งถ้าจะถามว่าผมทำอะไรบ้างกับอาชีพนี้คำตอบง่ายๆก็คือ
“เที่ยว”
ใช่แล้ว ผมกำลังออกเดินทางไปทั่วโลกแน่นอนว่าการเดินทางต้องมีการใช้จ่ายตลอด ผมยังชีพตัวเองด้วยเงินจากการถ่ายภาพระหว่างเดินทางเพื่อนำไปทำโปสการ์สท่องเที่ยวโดยมีเพื่อนสนิทของผมรับงานไปอีกทอดนึง
ผมซื้อเจ้าสมุดเล่มนี้มาจากคุณลุงอายุราวๆ 50 ปีได้ จากในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้วยความที่ผมไม่อยากให้ลุงแกเสียน้ำใจเลยซื้อมันมา ผมชอบมันนะ คิดซะว่าเป็นของฝากจากอิตาลี รูปแบบของมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร แกะแป๊กออกก็เจอหน้ากระดาษสีนวลหรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็กระดาษถนอมสายตาไร้เส้นนั่นล่ะ
ขอบอกเลยนะคุณจะพบได้เลยว่าโลกนี้มันเริ่มสะดวกกับชีวิตคุณมากขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องกดเงินสดออกมาจากบัญชีจำนวนมากๆ เพื่อเพิ่มความเสี่ยงในการถูกคนขับรถโดยสารหรือผู้ชายตามซอกตึกปล้นแค่มีบัตรเดบิตชีวิตคุณก็สะดวกขึ้น อ่า...ผมไม่ได้ขายของนะ (หัวเราะ) ผมกำลังจะบอกว่ามันเหมาะกับการเดินทางของผมเท่านั้นเอง
อันที่จริง...นี่เป็นการเริ่มต้นเดินทางครั้งแรกในชีวิตของผมและที่แรกที่ผมเลือกคือ “อิตาลี” ประเทศที่ผมฝันไว้ตั้งแต่ 13 ขวบ เหตุผลคืออิตาลีมีเสน่ห์ในรูปแบบของวัฒนธรรมที่การเป็นอยู่ ความเก่าแก่ของบ้านเรือนมันทำให้ผมหลงใหล ถึงแม้สีอิฐที่ใช้ปลูกสร้างจะดูหมองคล้ำหรือการชำรุดที่ได้รับการบำรุงน้อยเหลือเกินก็ตาม
อารยธรรมที่น่าสนใจหลายอย่างเกิดขึ้นที่นี่ และสิ่งที่ทำให้อิตาลีน่าสนใจที่สุดคือกรุงโรมที่ซึ่งโบราณสถานเก่าแก่ถูกสร้างไว้ที่นั่น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก สนามกีฬาใหญ่ที่สามารถจุคนได้ถึง 50,000 คน ตึกเอนปิซาที่ผมตั้งคำถามมาตลอดว่า ทำไมนะ มันถึงไม่ล้มซะที? หรือเมืองในฝันสำหรับคู่รัก เวนิส เมืองแห่งสายน้ำ
ในแต่ละวันผมใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมง เพื่อท่องเที่ยวแล้วตามเก็บภาพรูปตึกเก่าๆ ที่ถูกสร้างด้วยอิฐสีแดง ถนนแคบๆ ตรอกเล็กๆ พอเที่ยงก็แวะเข้าร้านกาแฟในย่านนั้น น่าทึ่งที่การเดินทางเพียงไม่นานทำให้ผมดูจะน้ำหนักลดลง ผมไม่ได้อ้วนหรอกนะ (ทำหน้าจริงจัง) มันเป็นเพราะผมดื่มแค่กาแฟกับขนมเค้กชิ้นเดียวแล้วก็เที่ยวต่อต่างหาก กลับถึงที่พักก็เหนื่อยอาบน้ำนอนข้าวเย็นก็ไม่ได้แตะเลย
ผมไม่มีร้านแกแฟที่นั่งประจำแต่ก็เป็นครั้งที่สี่แล้วมั้ง? ที่ผมเดินผ่านร้านนี้แล้วก็เข้ามานั่งพักจิบกาแฟมื้อเที่ยง ผมนั่งมองการสัญจรของรถผ่านกระจกใสที่ถูกเช็ดถูมาอย่างเนี้ยบ ตามความจริงที่อิตาลีให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ถ้าไม่เชื่อล่ะก็...
ลองทำกระดาษที่ห่อหมากฝรั่งไว้ตกลงพื้นสิครับ (ยิ้ม)
“กาแฟดำกับชีสเค้กม็อคค่ามาแล้วครับ”
คำพูดที่บริกรหนุ่มเอ่ยถึงเมนูที่ผมสั่งไปทำให้ผมต้องเงยหน้าจากสมุดบันทึกในมือที่กำลังจดจ้องเขียนอยู่ มันเป็นปฏิกิริยาแบบอัติโนมัติอยู่แล้วถ้าหากคุณกำลังเขียนความลับหรือเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครรู้แล้วมีคนมาเห็นมือของคุณจะรีบปิดสมุดนั้นลงซะเดี๋ยวนั้น
แต่ที่ให้ชวนคิดคือเขาพูดกับผมเป็นภาษาเกาหลี?
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองสมุดของคุณ” ชายหนุ่มบริกรหน้าหล่อคนนั้นกล่าวขอโทษด้วยวาจาสุภาพเขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเสิร์ฟกาแฟและเค้กในถาดอย่างน้อบน้อม
“อ่า...ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณหรอกครับ แต่คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนเกาหลี?”
บริกรหน้าหล่อยิ้มพร้อมหัวเราะน้อยๆ ใบหน้าที่อายุน้อยของเขาช่างดูหล่อเหลาเกินคนทำงานรับจ้างมากไปหรือเปล่านะ? ดูเป็นคนที่มีเสน่ห์ เทียบกับผมแล้วเขาอาจจะอายุแค่ 20 ต้นๆ
“ผมเห็นคุณเขียนภาษาเกาหลีในสมุดน่ะก็เลยทักเป็นภาษาเกาหลี ยินดีที่ได้พบคุณอีกนะครับ ผมเห็นว่าคุณคงเป็นนักท่องเที่ยวแต่บังเอิญที่คุณมาหลายครั้งผมเลยจำคุณได้”
บริกรหนุ่มตอบคำถามของผมอย่างสุภาพ ผมยิ้มตอบด้วยความเป็นมิตร ใช่ว่าจะเจอคนชาติเดียวกันในต่างแดนได้ง่ายนัก
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ถ้าลุงมาเห็นผมคุยกับลูกค้าคงจะโดนดุ อ่า...ทานให้อร่อยนะครับ” เขาโค้งตัวให้ผมก่อนจะเดินเข้าหลังเค้าเตอร์บาร์ไป
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น ผมนั่งเปิดรูปจากกล้องตัวเก่งดูเพลินๆ ก่อนจะเรียกเก็บเงิน ผมแปลกใจเล็กน้อย พนักงานที่มาเก็บเงินไม่ใช้เด็กหนุ่มคนนั้น ผมมองหาเขาแต่ก็ไม่พบ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอยู่หลังร้านหรือ...อาจจะกลับบ้านไปแล้ว?
แปลกนะ ทำไมผมถึงนึกถึงเขา (ยิ้มขำ) และความบังเอิญหรือเปล่าไม่รู้หลังจากที่ผมกำลังเดินข้ามถนนผมก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง
“คุณ...” เด็กหนุ่มหัวเราะ “เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ครับ” ผมยิ้มอย่างเป็นมิตร
“แล้ว...นี่คุณกำลังจะไปไหนหรอ? สนใจอยากได้ไกต์นำทางสักคนไหมครับ ผมไม่คิดเงินหรอกนะ”
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจแก่ผมและผมก็ตกลง ไม่ใช่เพราะไม่ต้องจ่ายเงินหรอกนะแต่ผมคิดว่าการมีเพื่อนร่วมทาง คนที่น่าจะรู้จักพื้นที่ดี น่าจะให้ข้อมูลที่ผมต้องการได้มากขึ้น
เขาพาผมไปเดินเล่นไปในหลายที่ บางสถานที่ผมยังไม่เคยไปและในบางที่ผมผ่านมาบ้าง เขาพูดแนะนำสถานที่อย่างไม่บกพร่องการพูดจาของเขาทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาต้องรู้จักที่นี่ดีมาก ทุกคำถามที่ผมตั้งขึ้นเขาสามารถตอบได้หมดและน่าสนใจ ผมคิดถูกที่ให้เขาช่วยเป็นไกต์ให้
“นั่งพักก่อนไหมครับ เราเดินมาเยอะแล้วนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยชวนผมในขณะที่สายตาของเขากำลังมองเก้าอีกไม้ที่อยู่ไม่ไกล
“ก็ดีเหมือนกันนะ”
เราเดินมานั่งพักหลังจากเดินมาได้สัก...เอ่อ ผมว่าหลายกิโลเลยนะ
“เราน่าจะทำความรู้จักกันนะครับ เดินมาตั้งนานผมก็ยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ผมเก็บขวดน้ำที่เพิ่งดื่มลงกระเป๋า
“ผมชื่ออีซองมิน คุณล่ะ?”
“...คยูฮยอนครับ โจ คยูฮยอน”
ผมพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเมมโมรี่ชื่อของคยูฮยอนไว้
“ขอถามได้มั้ยครับ ทำไมคุณถึงมาเที่ยวที่อิตาลี?”
“ผมฝันว่าอยากจะมาเที่ยวตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ผมชอบทุกอย่างที่เป็นอิตาลี แต่ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเกาหลีนะ ผมแค่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่และน่าประทับใจมาก”
“แล้วคุณจะอยู่นานแค่ไหนหรอครับ?”
“อืม...อันที่จริงผมก็กะว่าจะอยู่สักอาทิตย์นึงแล้วค่อยเดินทางต่อน่ะ”
“เดินทางต่อหรอ? นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณก็เป็นหนึ่งในคนที่จะเดินทางรอบโลกน่ะ!?”
คำถามของคยูฮยอนผมให้ผมหัวเราะออกมา เพราะหน้าตาที่ดูตื่นเต้นของเด็กหนุ่มดูตลกมากเลยน่ะสิ
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่เชิงหรอกนะ นี่แค่เริ่มต้นเอง”
ผมนั่งคุยกับคยูฮยอนอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์เซย์กู้ดบายไปจากท้องฟ้า ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ถ้าหากจะรบกวนคยูฮยอนโดยที่ไม่ได้ตอบแทนอะไร เลยเอ่ยปากชวนเขาไปเลี้ยงเป็นการตอบแทนที่เหนื่อยตั้งหลายชั่วโมง ในตอนแรกเขาปฏิเสธแต่พอผมบอกว่าผมรู้สึกไม่ดีเขาเลยยอมมาด้วย
อา...เขาทั้งสุภาพและอ่อนโยนมากเลยล่ะครับ
อ้อ! ร้านอาหารที่ผมพาเขาไปกินเป็นร้านที่มีชื่ออยู่พอควรมื้ออาหารนี้ทำให้เราได้รู้จักกันดีขึ้นผมเล่าเรื่องแผนการในการเดินทางของผมให้เขาฟังแลกเปลี่ยนกันกับเรื่องราวของคยูฮยอน
ผมได้รู้มาว่าคยูฮยอนอายุ 21 ปี ตอนนี้อาศัยอยู่กับลุง เขาเป็นลูกครึ่ง ซึ่งดูแล้วหน้าเขาไปทางเอเชียมากกว่าตะวันตก เอ่อ...คือพ่อของเขาเป็นอิตาลี-เกาหลี ส่วนคุณแม่ของเขาเป็นชาวเกาหลีโดยแท้ พวกท่านอยู่กินกันที่อิตาลีจนคยูฮยอนเกิดถึงได้ย้ายไปเกาหลีและ...เกิดเรื่องบางอย่าง (คยูฮยอนไม่ได้บอกน่ะครับ) ทำให้คยูฮยอนกลับมาอิตาลี เขาบอกเพียงว่าที่กลับมาอิตาลีเพราะมาพักใจ ตอนแรกผมคิดว่าเขาทะเลาะกับแฟนนะแต่คยูฮยอนบอกว่าไม่ใช่
ผมก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายจึงไม่ได้ถามอะไรมาก ส่วนงานเสิร์ฟกาแฟที่ร้านน่ะตอนแรกผมก็คิดไปซะได้ว่าเขาเป็นลูกจ้างที่ไหนได้ หลานเจ้าร้านต่างหาก รู้สึกลุงเค้าจะชื่ออัลโตนี่
จริงสินะ ผมยังไม่ได้บอกไปว่าคยูฮยอนกลับมาอิตาลีได้ 3 ปีแล้ว มันดูเป็นเรื่องที่ออกจะบ้าระห่ำไปซะหน่อยที่ออกจากบ้านมาเพื่อพักใจตั้งแต่อายุ 18!
ผมถามเขาไปว่า “สามปีแล้วนายยังพักใจไม่พออีกหรอ?” เขาก็ตอบผมมาว่า “หัวใจผมมันเหนื่อยมาน่ะสิครับ”
เอ่ออ....ฮ่าๆๆๆๆ เด็กคนนี้มันแน่จริงๆ เลยนะ ผมคิดแบบนั้น
หลังจากเสร็จมื้อค่ำ เราก็นัดกันว่าจะเดินทางไปกรุงวาติกันศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ด้วยกันวันพรุ่งนี้ เพราะคยูฮยอนบอกผมว่าพรุ่งนี้ร้านกาแฟหยุดผมถึงได้ตกลง ก็แหม..ผมเกรงใจคยูฮยอนเหมือนกันนะถ้าเขาต้องทิ้งงานถึงจะเป็นหลานก็เถอะ
หลังจากแยกกันกลับที่พักแล้วผมก็อาบน้ำแล้วก็มานั่งเขียนบันทึกต่อ ตอนนี้ก็...สองทุ่มกับอีกสี่สิบห้านาที ผมควรจะรีบเข้านอนแล้วเตรียมพร้อมเดินทางวันพรุ่งนี้
ราตรีสวัสดิ์เจ้าบันทึก...
ผลงานอื่นๆ ของ มะขูบเซ็นเตอร์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มะขูบเซ็นเตอร์
ความคิดเห็น